ไขความลับ โอกาสของ SME ไทย บุกตลาดจีนออนไลน์ ปี 2020
โอกาสของ SME ไทย สำหรับการ บุกตลาดจีนออนไลน์ ปี 2020 ซึ่งผู้ประกอบการไทยและทุกท่านที่มองหาโอกาสไม่ควรพลาด โดยเฉพาะช่องทางอีคอมเมิร์ซ e-Commerce
เวลานี้ SME อาจจะได้เปรียบกว่า
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาพเศรษฐกิจของโลกในภาพรวม เนื่องจากหลายธุรกิจในโลกเวลานี้กำลังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของเทคโนโลยีที่ส่งผลกระทบต่อ Distributor รวมถึงสถานการณ์สงครามการค้าจีน-สหรัฐ และล่าสุดคือการแข็งตัวของค่าเงินบาทที่มีผลต่อการส่งออก
แต่ถ้ามองในแง่หนึ่ง อาจจะพบว่าสำหรับธุรกิจขนาดย่อม SME นี่เป็นข้อได้เปรียบ เนื่องจากแม้ว่าธุรกิจจะมีขนาดเล็ก แต่นั่นก็ทำให้ "สามารถปรับตัวและเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆได้ง่ายและรวดเร็วกว่าธุรกิจขนาดใหญ่" หรือเรียกง่ายๆว่าคล่องตัวกว่านั่นเอง
อีกทั้งหลายธุรกิจในเวลานี้กำลังเริ่มขยายตลาดและปรับเปลี่ยนตัวเองมาเป็นการทำการตลาดและการขายผ่านออนไลน์ ในรูปแบบ เว็บอีคอมเมิร์ซ (E-Commerce) กันมากขึ้น ซึ่งช่องทางเหล่านี้ก็เป็นการเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตรายย่อย และเจ้าของสินค้าสามารถทำตลาดตรงถึงลูกค้าโดยคัดคนกลางออก
แต่ด้วยสภาวะเช่นนี้ ก็เลยกลายเป็นว่า กลุ่ม Distributor และผู้นำเข้า โดยเฉพาะนำเข้าจากจีน กำลังเจอภาวะที่ย่ำแย่ไปด้วย เพราะหลังจากอาลีบาบาเข้าได้มาเปิดศูนย์กระจายสินค้าในพื้นที่ EEC ซึ่งเป็นเขตปลอดภาษีอีคอมเมิร์ซ นั่นก็ส่งผลให้การแข่งขันในภาพรวมก็จะมีความรุนแรงและยากขึ้น ซึ่งตอนนี้เราก็น่าจะเริ่มพบกันแล้ว นั่นคือ สงครามราคา Trade-War ที่เกิดขึ้นกับช่องทางอีคอมเมิร์ซ รวมถึงการจัดส่งสินค้าที่ผู้ผลิตในประเทศจีนก็ไม่จำเป็นต้องง้อตัวกลางมากอีกแล้ว ซึ่งรูปแบบนี้จะทำให้ผู้นำเข้าต้องลำบากสาหัส หากไม่ยอมปรับตัวครับ
นักท่องเที่ยวจีน ตลาดเป้าหมายกำลังเปลี่ยนแปลง
คนจีนมีกำลังซื้อมหาศาล แต่ไม่ได้แปลว่าสินค้าจากประเทศไทยทุกอย่างจะถูกใจคนจีนหรือขายได้ไปหมด ในตลาดของ นักท่องเที่ยวจีน ที่เข้ามาในเมืองไทย เราพบว่าสินค้ากลุ่มที่ได้รับความนิยมมากเป็นพิเศษคือ สกินแคร์ เครื่องสำอาง ขนม ผลไม้ ของขบเคี้ยว ยา พระเครื่อง กับสินค้าเฉพาะทางบางประเภท เช่น หมอนยางพารา แผ่นแปะหลัง เป็นต้น
ซึ่งคนจีนที่เป็นกลุ่มลูกค้าหลัก ย่อมปฏิเสธไม่ได้ว่าคือผู้หญิงวัยรุ่นและวัยกลางคนที่ชอบการดูแลตัวเอง โดยเฉพาะช่วงอายุ 25-35 นับว่ามีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากที่สุด ตรงนี้ก็สอดคล้องกับจำนวนนักท่องเที่ยวจีนที่ยังสูงมากเป็นอันดับต้นๆในประเทศไทย โดยคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50-60% นอกจากนี้สินค้าประเภทสกินแคร์และเครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย ก็เป็นอีกกลุ่มที่น่าจับตามองครับ
แล้วอีกประเด็นคือ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ก็มีผลมาก ซึ่งเวลานี้เราจะเริ่มเห็นคนจีนที่มีอายุมากขึ้น ทำให้ธุรกิจที่มองไปข้างหน้า ต้องจับตลาดกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น ตรงนี้ถือว่าเป็นเทรนด์ระยะกลางและระยะยาวที่หลายธุรกิจเริ่มมองหาโอกาสกันแล้ว
ความเสี่ยง และเรื่องควรระวัง
สำหรับประเทศจีน ได้รับผลกระทบในช่วงที่การเติบโตของ GDP ในจีนกำลังตั้งเป้าลดลง โดยในปี 2018 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 6.5-6.6% ซึ่งเติบโตชะลอตัวลงจากปีก่อน แต่อันที่จริงเรื่องนี้พอเข้าใจได้ก่อนจะเกิดสงครามการค้า เนื่องจากจีนกำลังมุ่งไปพัฒนาด้าน โครงสร้างสาธารณูปโภคในเมืองชั้นรอง และเมืองระดับล่าง ระดับ Tier 3-4 มากขึ้น ส่วนเมืองระวัง Tier 1-2 ลดลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้มีผลกระทบไม่น้อย
นอกจากนี้ยังมีเรื่องภาษีที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม สินค้าขั้นกลาง และขั้นต้น เริ่มเห็นผลกระทบบ้างแล้ว เช่นกลุ่มของ ไม้ พลาสติก เพราะเป็นสินค้าปลายน้ำจากจีนเก็บภาษีจากสหรัฐ ซึ่งเวลานี้มียอดส่งออกติดลบอยู่ 2-3%
สำหรับในแง่ผู้บริโภคในจีน มีข้อมูลภาพรวมที่พบว่ายอดใช้จ่ายในประเทศจีนมีการเติบโตมากในปีก่อน ๆ แต่หลังจากสภาวะสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ เป็นต้นมา ทุกอย่างก็ชะลอตัวลง โดยในส่วนของค้าปลีก มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6-7% สำหรับช่องทางออนไลน์ อัตราเติบโตอยู่ที่ 9%
จากตัวเลขนี้แม้ว่าในภาพรวม จะยังค่อนข้างดูดีอยู่ แต่ก็ถือว่าชะลอลงจากปีก่อน ถึงกระนั้นบรรดาผู้บริโภคในจีนส่วนมากก็มีความเชื่อมั่นอยู่ว่าเศรษฐกิจจีนจะยังเดินหน้าไปต่อได้อีก
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ก็ถือว่ามีความเสี่ยงอยู่ เนื่องจากราคาเนื้อหมูที่เฟ้อขึ้นหลังจากเกิดการระบาด อหิวาต์สุกร ที่ระบาดมาตั้งแต่ต้นปี ทำให้ต้นทุนเรื่องเนื้อหมูกำลังแพงมากขึ้น แต่ทางจีนเองก็พยายามอย่างเต็มที่ในการช่วยพยุงทั้ง ผู้ประกอบการ และผู้บริโภค เพราะอยากให้มีการปล่อยเงินสินเชื่อให้มากขึ้นเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทางธนาคารก็มีการตอบสนองที่ค่อนข้างรวดเร็วด้วย เรียกว่าเป็นการตั้งเป้าหมายหลักอยู่ที่การเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในให้แกร่งขึ้น ซึ่งทางรัฐบาลก็ควบคุมสถานการณ์ได้จากการควบคุมทางการเงิน สินเชื่อ และ อื่น ๆ เช่นกัน
นอกจากนี้ ในจีนยังมีการออกแคมเปญสำคัญคือ การทำสงครามในเรื่องลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งก็มีประเด็นเรื่องเมืองฝั่งตะวันออก และ ภายในกับตะวันตก ที่มีความเหลื่อมล้ำกันอยู่ระหว่างเมืองชายฝั่งและ เมืองชั้นใน Inner แต่ก็พยายามที่จะแก้ไขปัญหานี้ด้วย
นอกจากนี้มีความเสี่ยงอีกมุมที่มองข้ามไม่ได้ นั่นคือ การร่วมทุนกับนักธุรกิจจีน ช่วงนี้ใครมองหาโอกาสนี้จำเป็นต้องระวังให้มากเลยครับ เพราะตัวเลขโดยรวมของภาคหนี้ธุรกิจจีนค่อนข้างสูงมาก 170% ของ GDP แต่รัฐบาลจีนสามารถบริหารจัดการได้ เพราะเป็นหนี้ในรูปสกุลเงินหยวนของจีนเอง จีนจึงยังควบคุมอยู่ ถ้ามีผลกระทบก็จะเป็นในส่วนของบริษัทในจีนเองมากกว่า
ทำไม อีคอมเมิร์ซ สำคัญ
เนื่องจากในเวลานี้ ตลาดจีน เสมือนกับ ผู้หญิงสวยที่ทุกคนในโลกอยากจีบ ไม่ว่าจะเป็นภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมด้านไหนก็ตาม ตรงนี้ทำให้เราต้องรู้จักที่จะอัพเดทเทรนด์กันบ่อยๆครับ เพราะถ้าไม่ทัน ผ่านไปแค่ 3-6 เดือน กระแสเปลี่ยน เราก็ตกขบวนแล้ว
ดังนั้นถ้าอยากบุกตลาดจีน มีช่องทางแนะนำสองทางหลัก โดยเฉพาะกลุ่ม SME ครับ นั่นคือ
1.Normal Trade ผ่าน Shopping Mall ทั่วไป และทางออนไลน์
2.Cross Border E-commerce (CBEC) ขายผ่านแพลทฟอร์มออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ แบบข้ามประเทศ
ในปัจจุบัน รูปแบบที่สองคือ CBEC กำลังเป็นรูปแบบที่มาแรงมาก ที่สำคัญคือ นี่เป็นช่องทางที่เหมาะสมสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน มีต้นทุนน้อย หรืออยากทดลองตลาด ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากครับ ซึ่งก็เป็นอีกสาเหตุที่ว่าทำไมจึงเหมาะกับ SME ที่มีความคล่องตัวและปรับเปลี่ยนได้ง่าย ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีบริการด้านนี้แล้ว
ดังนั้นเมื่อโลกกำลังเปลี่ยนแปลง ต้องยอมรับว่า ช่องทางออนไลน์ อีคอมเมิร์ซ e-Commerce กำลังมีความสำคัญมากขึ้นในการ บุกตลาดจีน กลุ่มธุรกิจ SME ของไทย ถ้าต้องการบุกจีนให้ได้ ก็ต้องปรับตัวครับ สำหรับปี 2020 นี้
=========================================
#คิดถึงการตลาดจีน#คิดถึงการตลาดจีน คิดถึง Level Up Thailand#
ต้องการตรวจความพร้อมก่อนบุกตลาดจีน สามารถอ่านบทความ
“ตรวจความพร้อมก่อนไปตลาดจีน” ได้ที่
หรือ อยากทราบภาพรวมของการตลาดออนไลน์จีนสามารถอ่านบทความ
“บุกตลาดจีนด้วยการตลาดออนไลน์จีน” ได้ที่
ต้องการคำปรึกษาหรือดูบริการแพ็คเกจบริการการตลาดจีนเริ่มต้นได้ที่
ทั้งนี้ถ้าต้องการให้เราเขียนเพิ่มเติมด้านไหนสามารถ Comment มาได้เลยนะครับ
Comments