บุกตลาดจีนด้วยการตลาดออนไลน์จีน ตอน3
บทที่ 3 รู้จักพฤติกรรมผู้บริโภคจีน
เวลาเราพูดถึงคนจีนหรือผู้บริโภคจีนก็ตามอยากจะให้แบ่งแยกออกมาเป็นสี่ส่วนด้วยกันครับ
ทำความรู้จักกับประเทศจีน เมื่อพูดถึงประเทศจีนเราต้องเข้าใจก่อนว่าประเทศจีนนั้นเป็นประเทศที่ใหญ่มาก มีประชากรมากถึง 1,357 ล้านคน คนซึ่งมากกว่าประเทศไทย 20 เท่าตัว เวลาเราพูดถึงประเทศจีนคนส่วนมากจะคิดถึงประเทศจีนเป็นหนึ่งเดียว แต่ที่จริงแล้วเพราะความใหญ่ของประเทศนั้นทำให้คนในแต่ละเมืองมีความแตกต่างกันมากพอสมควร รวมถึงการบริโภคที่แตกต่างและความคิดที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่นคนภาคเหนือจะชอบอาหารที่เค็ม ส่วนภาคตะวันตกจะชอบเผ็ดภาคตะวันออกจะชอบอาหารทะเล ส่วนภาคใต้จะชอบอาหารรสหวาน
ส่วนที่หนึ่งคือภาคเหนือตั้งแต่ปักกิ่งซึ่งเป็นหัวเมืองหลักสำคัญของประเทศจีน ขึ้นไปรวมจนถึงฮาร์บินที่เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือของจีน มีความโด่งดังเรื่องความเย็นหรืองานที่เกี่ยวกับน้ำแข็ง ภาคเหนือของจีนจะติดกับประเทศมองโกเลีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีความใกล้เคียงกับจีนมากและประเทศเป็นประเทศที่เต็มไปด้วยทุ่งหญ้าและชนบท ปักกิ่งเป็นเมืองหลวงของจีนและเป็นศูนย์รวมของรัฐบาลจีนหลายหลายหน่วยงาน เป็นที่ที่เคยจัดโอลิมปิกและมีการพัฒนาประเทศให้มีมลภาวะน้อยลง
ทั้งนี้เป็นเมืองที่มีอากาศแปรปรวนโดยเฉพาะหน้าหนาวจะมีอุณหภูมิติดลบ หิมะตก ดังนั้นเวลาพูดถึงการท่องเที่ยวจะมีพฤติกรรมพิเศษกว่าภาคอื่นๆ นั้นก็คือคนภาคนี้จะนิยมหนีหนาวหรือส่งคุณพ่อคุณแม่ไปอยู่ต่างประเทศ ในสถานที่ติดทะเลที่มีอุณหภูมิที่อบอุ่นเป็นเวลาประมาณสามถึงสี่เดือนต่อปี ไม่ว่าจะเป็นประเทศไทย เกาะไหหลำ หรือเกาะบาหลี
ท้ายนี้แม้ว่าปักกิ่งจะเป็นเมืองหลวงแต่ก็ยังคงความเป็นจีนค่อนข้างเยอะจึงทำให้เป็นเมืองที่คนต่างชาติต้องปรับตัวมากพอสมควร
ส่วนที่สองคือโซนตะวันตก มีหัวเมื่อหลักคือสองเมืองคือคุณหมิงและเฉิงตู นครคุนหมิงเป็นเมืองที่อยู่ในมณฑลหยุนหนาน ซึ่งเป็นมณฑลที่ติดกับประเทศลาว เวียดนาม และพม่ า จึงเป็นจุด ยุทธศาสตร์สำคัญในการนำเข้าและส่งออกสินค้า ถ้าพูดถึงการค้าขายทางถนนระหว่างไทยจีนแล้วนั้น เราจะเห็นว่าส่วนใหญ่จะต้องนำเข้านครคุนหมิงก่อนที่จะกระจายไปตามเมืองต่างๆในจีน
ส่วนเมืองเฉิงตูเป็นเมืองเอกของมณฑลเสฉวน มีประชากรราว 10 ล้านคน จัดเป็นอันดับ 3 ของประเทศจีน เป็นเมืองที่ค่อนข้างเจริญ และเป็นเมืองที่รัฐบาลจีนส่งเสริมให้เป็นหัวเมืองหลักสำคัญของภาคตะวันตก ถ้าพูดถึงภูมิภาคอากาศที่นั่นจะคล้ายครึ่งกับเชียงใหม่ นั้นก็คือเป็นมณฑลที่มีภูเขามากมาย อากาศดีทำให้คนส่วนมากที่อยู่ภาคตะวันตกเป็นคนที่มีชีวิตเรียบง่ายได้อยู่อย่างสบายๆ ผมเคยถามคนที่นี่ว่าอยากจะย้ายเข้าไปทำงานที่เมืองเมืองที่มีเศรษฐกิจดีไหมเช่นเซี่ยงไฮ้ กวางโจ ปักกี่งต้น ซึ่งส่วนมากจะตอบว่าเค้าชอบชีวิตที่นี่มากกว่าจะต้องแข่งขันกันและยังต้องเร่งรีบอยู่ตลอดเวลา
ส่วนที่สามคือภาคใต้ซึ่งมีหัวเมืองหลักสำคัญคือกวางโจวและเซินเจิ้น ทั้งสองเมืองนี้เป็นเมืองในมณฑลกวางตุ้ง และเป็นจุดศูนย์กลางของการค้าขาย เมืองเซินเจิ้นนั้นเป็นเมืองที่ติดกับฮ่องกงและสามารถพูดและเขียนภาษาเดียวกันกับฮ่องกงได้
ทั้งสองเมืองนี้มีโรงงานที่ตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียงมากมาย ดังนั้นนักธุรกิจที่ต้องการนำเข้าของจากเมืองจีนมาขายส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นสองเมืองนี้ก่อนนอกจากจะมีของให้เลือกเยอะแล้วแถบยังราคาถูกมากเลย เนื่องด้วยเหตุนี้คนในเมืองนี้เป็นส่วนใหญ่จะมีอาชีพเป็นพ่อค้าและมีการพัฒนาด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีรวดเร็วกว่าที่อื่นๆ
นักธุรกิจไทยที่อยากไปทำธุรกิจที่นั่นสามารถทำได้ค่อนข้างสะดวกกว่าเมืองอื่นๆเพราะนอกจากจะมีกงสุลใหญ่อยู่ที่นครกวางโจวเพื่อเกื้อหนุนและช่วยเหลือผู้ประกอบการที่อยากจะไปขยายกิจการที่นั่น อีกทั้งการใช้ชีวิตและอาหารการกินของที่นี่มักจะถูกปากคนไทยเพราะมีความคล้ายคลึงกับอาหารจีนที่เราคุ้นเคยในประเทศไทยครับ
ส่วนสุดท้ายคือโซนตะวันออกซึ่งมีเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองหลักสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดของจีนในด้านเศรษฐกิจ เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่สร้างรายได้ให้กับประเทศจีนมากที่สุด และมีบริษัทต่างชาติมาลงทุน ปักหลักอยู่ที่นี่เป็นจำนวนมาก เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่คนต่างชาติใช้ชีวิตอยู่อาศัยได้อย่างง่ายที่สุดเพราะมีการเปิดกว้างในเรื่องของวัฒนธรรมและความเป็นอยู่ รวมทั้งมีเขตที่สามารถเปิดใช้เครื่องมือออนไลน์ของต่างประเทศได้อีกด้วย เซี่ยงไฮ้เป็นเมืองที่ติดกับทะเลมหาสมุทรนั้นจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการส่งของไปประเทศอื่น ไม่ว่าจะเป็นญี่ปุ่น หวันไต้หวัน เกาหลี หรือประเทศอื่นๆ
แต่เงินค่าครองชีพที่เมืองเซี่ยงไฮ้ก็สูงเช่นกัน ค่าเช่าที่พักอาศัยและร้านค้าก็สูงขึ้นตามกัน ทำให้ผู้ประกอบการที่จะลงทุนที่เซียงไฮ้อาจจะต้องคิดไตร่ตรองให้ดีก่อนเพราะค่าใช้จ่ายกายการเริ่มต้นนั้นสูงพอสมควร เนื่องด้วยเซี่ยงไฮ้เป็นเมืองค่อนข้างจะอินเตอร์ทำให้คนส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้และบ้านเมืองมีการพัฒนาที่เร็วใกล้เคียงกับฮ่องกง คนที่นั้นมีกำลังซื้อเยอะมากจึงทำให้บริษัทซีพี ซึ่งมีชื่อเรียกในจีนว่าเจิ้งต้า ได้ทำการเปิดห้างสรรพสินค้าหรูชื่อว่า ซุปเปอร์แบรนด์มอลล์ที่ใจกลางนครเซี่ยงไฮ้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
การเดินทางระหว่างจังหวัดต่างๆในประเทศจีนนั้นมี 2 วิธีหนักๆคือ หนี่ง นั่งรถไฟไม่ว่าจะเป็นรถไฟความเร็วสูงหรือรถไฟธรรมดา จะป็นตั๋วนั้ง หรือตั๋วยืน ก็สามารถพาเราไปถึงเมืองต่างๆได้อย่างสะดวกสบาย วิธีที่สองคือการนั้งเครื่องบินไปลงตามหัวเมืองหลักต่างๆเพื่อย่นเวลาการเดินทาง เวลาเมืองจีนนั้นเร็วกว่าไทย 1 ชั่วโมง ทำให้เวลาติดต่องานค่อนข้างง่ายแต่อย่าลืมนะครับว่าบริษัทจำนวนไม่น้อยในจีนนั้นพักเที่ยง 2 ชั่วโมง โดยที่เขามีความเชื่อว่าการที่พนักงานได้รับประทานอาหาร 1 ชั่วโมงและได้งีบหลับพักผ่อนอีก 1 ชั่วโมง จะทำให้มีประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้นในช่วงตอนบ่ายครับ บางทีเมืองไทยน่าจะเอาตรงนี้มาใช้เหมือนกันนะ
นี่คือภาพรวมประเทศจีนที่นักธุรกิจต้องรู้ก่อนที่จะลงสนามบุกตลาดจีน หลังจากที่ทราบความแตกต่างของแต่ละโซนของประเทศจีนแล้ว สิ่งต่อไปที่จะต้องเข้าใจคือทัศนคติที่คนจีนมีต่อสินค้าและบริการไทย
ทัศนคติที่คนจีนมีต่อสินค้าและบริการไทย
ถ้าอยากจะเข้าใจคนจีน เราควรเริ่มดูที่ความเชื่อของคนจีนก่อน เราเข้าใจก่อนว่า คนจีนเองก็แบ่งเป็นหลายเชื้อสายโดยมีเชื้อสายที่สำคัญอยู่หลักๆหนึ่งเชื้อสาย นั้นก็คือ ชาวฮั่น ซึ่งมีประชากรมากถึง 92% ประชากรของจีนทั้งหมด คนจีนส่วนใหญ่ไม่มีศาสนา ถ้าสังเกตดีๆเวลานักท่องเทียวจีนมาบ้านเรา ส่วนใหญ่จะไม่ชอบไหว้พระมากนักแม้จะมีความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์มากก็ตาม บางคนจึงยินยอมไปไหว้พระพรหมหรือเช่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆไม่ว่าจะเป็นพระผีเสื้อ หรือยันต่างๆที่มีความเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตของเขาสำเร็จและดีขึ้น นอกจากนี้คนส่วนใหญ่ให้ความนับถือบูชาองเทพ และคนที่มีความสำคัญต่อประเทศจีนเช่น ขงจื๊อ เป็นต้น
ความรู้สึกที่คนจีนมีต่อคนไทยนั้นดีมาก คนจีนส่วนใหญ่รักเมืองไทยและนิสัยคนไทย วิธีทดสอบสนุกๆว่าคนจีนชอบคนไทยแค่ไหน นั้นง่ายนิดเดียวครับคือการที่เดินเข้าไปหาคนจีนแล้วบอกว่า “เราคือคนไทย” (หรือภาษาจีนออกเสียงว่า “วอชื่อไท่กั๋วเหลิน” ร้อยทั้งร้อยจะทำให้คนจีนนั้นยิ้มขึ้นมาได้เลยทีเดียว สิ่งที่ขึ้นชื่อของไทยก็มีหลายอย่างครับเช่น ดาราไทยก็เป็นที่รู้จักของคนจีนโดยเฉพาะคนที่เคยเดินทางไปประเทศจีน หรือแสดงหนังที่โชว์ในมือจีน สิ่งที่สองคือการนวดของไทยซึ่งมีความนอบน้อมและอ่อนโยนกว่าการนวดของจีนเป็นอย่างมาก มีความประดิษฐ์ประดอยและเป็นศิลปะเอกลักษณ์มากกว่าทำให้คนจีนมีความเชื่อว่าการนวดแบบไทยนั้นเป็นการนวดแบบมีคุณภาพ รวมถึงผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการนวดต่างๆก็มีความนิยมเช่นเดียวกัน
ผลิตภัณฑ์ขายดีในประเทศจีนมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เช่น หมอนยางพาราที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างดีในตลอดปีที่ผ่านมา สิ่งที่เกิดขึ้นคือมีช่อง ซีซีทีวี1 ซึ่งเป็นช่องที่ได้รับความนิยมของประเทศจีนนั้นมาทำสารคดีเกี่ยวกับหมอนยางพาราในประเทศไทย ทำให้ผู้คนในประเทศจีนนั้นรู้จักและมีความต้องการหมอนยางพาราเป็นอย่างมาก ทำให้ห้างสรรพสินค้าสำหรับคนจีนจะต้องมีหมอนยางพาราขายอยู่เป็นอย่างแน่นอน และขายในราคาค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 2,000 ถึง 3,000 บาทต่อใบเลยทีเดียว ผลิตภัณฑ์ขายดีอันต่อมาคือขนมขบเคี้ยวอาหารการกินที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะเช่นสาหร่ายเถ้าแก่น้อย นมเม็ดส่วนดุสิต น้ำผลไม้มาลี ข้าวหอมมะลิ ผลไม้อบแห้งโดยเฉพาะทุเรียน รวมไปถึงผลไม้สดของเมืองไทยเช่น ทุเรียน ส้มโอและกล้วย
ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณก็เป็นที่นิยมเช่นเดียวกันโดยเฉพาะมิสทิน สเนลไวท์และยาลดความอ้วนโรงพยาบาลยันฮี ผลิตภัณฑ์หนังเช่นกระเป๋าหรือเข็มขัดซึ่ง(อ้างว่า)ทำมาจากหนังช้างหรือหนังจระเข้ ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่ผมไม่ได้กล่าวถึง แต่มียอดซื้อค่อนข้างเยอะ เช่น รังนก หรือผ้าไหม แต่เอาเข้าจริงๆแล้วส่วนใหญ่มาจากการนำเสนอของบริษัททัวร์ต่างๆแทนที่จะเป็นความต้องการจริงๆของคนจีน ทั้งนี้เราสามารถเช็คสินค้ายอดนิยมได้จากเว็บไซต์ขายของในประเทศจีนเช่นTaobao เพื่อที่จะอัพเดทตัวเราเองอยู่ตลอดเวลาและเข้าใจถึงความต้องการของจีนอาจเปลี่ยนแปลงในอนาคต
พฤติกรรมออนไลน์ที่แตกต่าง
เรื่องของช่องการตลาดทางบนโลออนไลน์เป็นเรื่องที่เราไม่สามารถเมินเฉยได้โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีการใช้ช่องทางออนไลน์ในการซื้อสินค้าและบริการ จองรถ จองตั๋ว ซื้อประกัน ฯลฯ ในประเทศจีนนั้นมีผู้ใช้อินเตอร์เน็ต เป็นจำนวน 650 ล้านคน หรือเท่ากับ 2 เท่าของประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้น 58% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ และส่วนมากมีบัญชีโซเชียลมีเดียหลายบัญชี ด้วยตลาดที่ใหญ่มากจึงทำให้อาลีบาบาสามารถเติบโตและพัฒนาธุรกิจจนเข้าตลาดหลักทรัพย์ของประเทศอเมริกาได้ ทำให้ แจ็ค หม่า เป็นหนึ่งในคนที่รวยที่สุดในโลก
โดยเฉลี่ยแล้วคนจีนใช้โซเชียลมีเดียถึง 9 ชม ต่อวัน ซึ่งสูงกว่าการใช้ของคนในสหรัฐอเมริกาถึง 5 ชมต่อวันเลยทีเดียว แต่มีอยู่วันนึงของปีที่ค่าเฉลี่ยพุ่งกระฉูดทะลุเป้านั้นก็คือปรากฏการณ์ของ วันที่ 11 เดือน 11 หรือเรียกว่า “วันคนโสด” ซึ่งเป็นการตลาดของอาลีบาบาที่ได้ผลเกินความคาดหมาย จัดมาแล้วสองสามปี ร้านในอาลีบาบาร่วมใจกันลด 50% ทำให้คนหลั่งไหลเข้ามาซื้อของเป็นจำนวนมากจนถึงกับเซิฟเวอร์ล่มเลยทีเดียว สิ่งที่ทำทำให้อีคอมเมิร์ซในเมืองจีนเติบโตอย่างรวดเร็วคือความเชื่อมั่นที่คนจีนมีต่อระบบจ่ายเงินของอีคอมเมิร์ซจีน พราะการสั่งซื้อของพวกนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะมีการจ่ายเงินเมื่อได้รับของ จึงทำให้ผู้ซื้อกล้าที่จะสั่งของราคาสูง นอกจากนี้อาลีบาบายังมีมาตรการเสริมความมั่นใจผู้ซื้อไม่ว่าจะเป็นการรับประกันเงินคืนในกรณีของมาไม่ถึงมือผู้ซื้อ หรือไม่พอใจสินค้า อีกด้วย
นอกจากอีคอมเมิร์ซที่แข็งแกร่งแล้วประเทศจีนยังมีระบบการเงินที่ดีและเชื่อถือได้ด้วย ทำให้การจับจ่ายใช้สอยเป็นไปได้อย่างง่ายดายและกระตุ้นให้คนซื้อของได้โดยที่ไม่ต้องพกเงินสด
สมัยนี้คนจีนนิยมใช้มือถือมากขึ้นเรื่อยๆอย่างมีนัยสำคัญ 61% ของผู้ใช้อินเตอร์เน็ตทั้งหมดดันมาใช้มือถือเป็นหลักไม่ว่าจะเป็น เล่นเน็ต โซเชียลมีเดีย ซื้อของ หรือโอนเงิน ตัวเลขที่น่าสนใจตัวนึงคือในปี 2558 การจับจ่ายใช้สอยบนระบบชำระเงินผ่านมือถือของจีนมีมูลค่ารวม 235,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 8 ล้านล้านบาท ซึ่งมากกว่า ประเทศสหรัฐอเมริกาเสียอีก
ระบบชำระเงินผ่านมือถือหลักของประเทศจีนก็คือ Alipay (อาลีเพย์) ครอง 68% ของตลาด WeChat Pay (วีแชทเพย์) ครอง 20% ของตลาด ระบบการเงินนี้ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆกับของเมืองไทยก็คือ LINE Pay (ไลน์เพย์) หรือ True Money (ทรูมันนี่) ที่สามารถเติมเงินเข้าไปและจับจ่ายใช้สอยตามสถานที่ต่างๆได้ แต่สิ่งที่แตกต่างกันก็คือผู้บริโภคในเมืองจีนยินยอมที่จะชำระเงินผ่านมือถือมากกว่าใช้เงินสดเสียอีก จึงทำให้ร้านค้าทุกร้านต้องเตรียมตัวรับการจ่ายผ่านมือถือนี้
นอกจากจะจับจ่ายใช้สอยในร้านค้าได้แล้วยังสามารถโอนเงินให้กันได้อีก ซึ่งแปลว่าการโอนเงินระหว่างบุคคลทำได้ง่ายกว่าปกติที่จะต้องไปธนาคาร อีกทั้งการถอนเงินจากธนาคารมาสู่ระบบมือถือนี้ทำได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่ตั้งค่าให้ถูกต้อง ยืนยันตัวตน หลังจากนั้นก็ใช้แค่รหัสส่วนตัว เพียงแค่นี้ก็สามารถโอนเงินอยู่ให้กับคนอื่นๆที่มีระบบกระเป๋าตังมือถือได้
พฤติกรรมของการจ่ายเงินนี้เป็นเทรนของโลกเพราะแม้แต่ทาง Apple เองก็ออกบริการตัวใหม่ชื่อว่า Apple Pay (แอปเปิ้ล เพย์) รวมทั้ง Google ก็ได้ออก Google Wallet (กูเกิล วอลเล็ต) ซึ่งจะทำให้การจับจ่ายใช้สอยง่ายขึ้น ทุกการเปลี่ยนแปลงมีโอกาสใหม่เสมอ เมื่อเทรนด์นี้กำลังมาเราควรจะมองหาโอกาสที่จะสามารถใช้ประโยชน์เกื้อหนุนธุรกิจเราได้นะครับ ตัวอย่างเช่น คนที่เคยสัมผัสนักท่องเทียวจีนที่มาเยือนประเทศไทยก็ตามอาจจะเคยพบเห็นว่าคนจีนได้นำพฤติกรรมนี้มาใช้ในประเทศไทยเช่นเดียวกันโดยเฉพาะภูเก็ตซึ่งตอนนี้ร้านค้าหลายรายเปิดรับการจ่ายของ Alipay ละWeChat ได้แล้ว ซึ่งถ้าเราเป็นผู้ประกอบการที่มีลูกค้าจีนมาร้านเป็นประจำ เราก็ควรศึกษาเรื่องนี้และเตรียมตัวให้สามารถรับการจ่ายเงินผ่านทางมือถือให้ได้ เพราะเมื่อลูกค้าจ่ายคล่องก็มีโอกาสที่เขาจะซื้อเยอะขึ้นเช่นเดียวกัน
ผู้ประกอบการใดที่อยากศึกษาเพิ่มเติมสามารถสามารถติดต่อเข้ามาได้นะครับ
การตลาดออนไลน์จีน เมื่อเราเห็นแล้วว่าตลาดออนไลน์จีนนั้นสำคัญแค่ไหน สิ่งต่อไปที่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจก็คือช่องทางการตลาดออนไลน์ จากผู้ใช้โซเชียลมีเดียในประเทศจีนทั้งหมด 650 ล้านคน มีอยู่ 400 ล้านคนที่ดูผ่านทางมือถือ และมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คาดว่าในปี 2560 จะมีผู้ใช้โซเชียลมีเดียทางมือถือถึง 745 ล้านคน ดังนั้นเราต้องเข้าใจว่าสื่อต่างๆที่เรานำเสนอทางช่องทางจีนจะต้องสอดคล้องกับจำนวนคนที่ใช้มือถือในการเสพสื่อต่างๆนี้ด้วย ที่สำคัญคือ 37% ของคนที่ซื้อของออนไลน์นั้นบอกว่าพวกเขาตัดสินใจซื้อของจากการแนะนำบนโซเชียลมีเดีย
การตลาดออนไลน์จีนถือเป็นช่องทางที่ดีมากในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคสมัยใหม่โดยเฉพาะผู้บริโภคอายุตั้งแต่ 26 ถึง 35 ปี ซึ่งรวมกันแล้วมีจำนวนผู้ใช้มากถึง 51% ของผู้ใช้ออนไลน์จีนทั้งหมด
ในเมืองไทยเราใช้ Facebook LINE YouTube และ Google เป็นหลักแต่ทราบมั้ยครับว่าเครื่องมือออนไลน์จีนเหล่านี้ไม่สามารถเปิดได้ในเมืองจีนเลย บ้าง
ท่านอาจจะจำได้ว่าเมื่อปี 2553 ที่ออกข่าวใหญ่หน้าหนึ่งว่ากูเกิ้ลได้ถอนตัวออกจากเมืองจีนเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆเช่น การโดนจำกัดการเผยแพร่ และการโดนโจมตีจากแฮ็กเกอร์ ทำให้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจในเมืองจีนได้อีกต่อไปสำหรับผู้บริโภคแล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเป็น Google Search, Gmail, Play Store, Google Drive, Google Map หรือ YouTube ก็ล้วนโดนบล็อกทั้งสิ้น ทำให้การดำเนินชีวิตในประเทศจีนของคนต่างชาติที่ใช้กูเกิ้ลเป็นหลักก็จะไม่ค่อยสะดวกมากนัก
ทั้งนี้ทั้งนั้นคนจีนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากอะไรเพราะ จีนเองก็มีแพลตฟอร์มที่ทำหน้าที่เหมือนกัน อีกทั้งผู้บริโภคจีนก็สนับสนุนแพลตฟอร์มเหล่านี้เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มของคนจีนกันเอง และทำให้ไม่ต้องพึ่งบริษัทต่างชาติ อีกทั้งข้อมูลต่างๆที่ใส่เข้าไปในเครื่องมือออนไลน์จีนพวกนี้ก็จะได้ไม่รั่วไหลออกนอกประเทศไปอยู่ในมือของต่างชาติ
ดังนั้นผู้ใดที่ต้องการทำการตลาดในจีนจะต้องเรียนรู้แพลตฟอร์มต่างๆของจีนนี้ ยกตัวอย่างเช่นแทนที่จะใช้ LINE หรือ WhatsApp คนในจีนใช้ WeChat (วีแชท) แทน ใครที่มีเบอร์โทรศัพท์ก็สามารถลงทะเบียนใช้ WeChat ได้ จึงทำให้มีคนลงทะเบียนถึง 1,100 ล้านคน และในปี 2559 WeChat มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 806 ล้านคน
อีกทั้งในลักษณะเดียวกันกับที่ไทยเรามี LINE@ ซึ่งเป็นไลน์สำหรับร้านค้าเอาไว้โฆษณาขายของ WeChat ก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกันนั้นก็คือ WeChat Official (บัญชีทางการ) ที่ทำได้เหมือน LINE@ เลยทีเดียว แต่สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องรู้คือ WeChat Official ที่สร้างจากต่างประเทศนั้นคนจีนไม่สามารถเปิดดูได้ ดังนั้นเราจึงต้องมีพันธมิตรในจีนที่คอยช่วยเปิดบัญชี WeChat Official ให้ในจีนด้วย
Facebook ก็โดนบล็อกเช่นเดียวกันโดยแทนที่คนจีนจะใช้ Facebook เขามีแพลตฟอร์มหลายตัวให้เลือก สมัยก่อนมี RenRen (เหรินเหริน) แต่ตอนนี้แพลตฟอร์มที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ Weibo (เวย์ปั๋ว) ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ลงตัวระหว่าง Twitter และ Facebook ซึ่งมีคนลงทะเบียนรวม 600 ล้านคน มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 261 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ 85% ใช้ผ่านทางมือถือ
YouTube แพลตฟอร์มวิดีโออันดับหนึ่งของโลกก็โดนทดแทนด้วยแพลตฟอร์มที่คล้ายคลึงกันนั้นก็คือYouKu Tudou (โยวคู่ ถู่โต้) ซึ่งมีผู้ใช้ทั้งหมดมากกว่า 500 ล้านคน มีผู้ใช้บริการเป็นประจำจำนวน 150 ล้านคน มียอดดูวิดีโอต่อวันจำนวน 900 ล้านครั้ง
สุดท้ายนี้ Google ซึ่งเป็นเครื่องมือค้นหาที่ใหญ่ที่สุดของโลกได้ถูกทดแทนด้วยBaidu (ไป่ตู้ ) หลักการทุกสิ่งทุกอย่างเกือบเหมือนกันทั้งสิ้น โดยมีการโฆษณาผ่านทาง Baidu ได้ด้วยเหมือนกันกับ Google Adword (กูเกิ้ล แอดเวิร์ด) ที่เราสามารถซื้อโฆษณาเพื่อให้ระดับการค้นหาของเราอยู่อันดับต้นๆได้ Baidu มีผู้ใช้ทั้งหมดต่อเดือนประมาล 657 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 79% ของจำนวนการค้นหาทั้งหมด นอกจากนี้ Baidu ยังมีแพลตฟอร์มอื่นๆอีกมากมายเช่น Baidu Map, Baidu Cloud, Baidu Tieba ฯลฯ
นอกจากโซเชียลเมเดียที่โดนบล็อกแล้ว เครื่องมือที่ใช้โหลดแอพมือถือ Play Store ก็โดนบล็อกด้วยเช่นกัน สำหรับผู้ใช้ iPhone นั้นสามารถโหลดได้ที่ Apple Store แต่สำหรับผู้ใช้แอนดรอยด์นั้น ซึ่งมีทั้งหมด 70% จากผู้ใช้มือถือสมาร์ทโฟน 780 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึง Google Play Store เพื่อโหลดแอพพลิเคชั่นอื่นๆได้ ดังนั้นผู้พัฒนาแอพมือถือจะต้องศึกษาให้ดีก่อนที่จะหวังบุกตลาดจีน นะครับ
ท่านทั้งหลายคงเห็นแล้วว่าช่องทางการทำเครื่องมือออนไลน์จีนนั้นมีความแตกต่างกว่าประเทศอื่นๆมากและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ซึ่งเราจะตั้งศึกษาในเข้าใจก่อนที่จะทำตลาดในประเทศจีนครับ รายละเอียดของแต่ละแพลตฟอร์มนั้นมีเยอะมาก แต่ก็ไม่เกินความสามารถครับ เพียงลองเริ่มเล่นดูครับ ถ้าติดปัญหาอะไรสามารถสอบถามมาได้เลยนะครับ
...
Comments